ผอ.ใหญ่ ดีป้า แนะไทยเดินหน้าหาตลาดใหม่ เตรียมการรับมือมาตรการภาษีทรัมป์

วานนี้ (10 เมษายน 2568), กรุงเทพมหานคร – ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ชี้มาตรการภาษีทรัมป์เป็นการโยนหินถามทางเพื่อสังเกตท่าทีของคู่ค้าสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อ GDP ไทย คาดมาตรการดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลทันที แนะไทยเร่งหาตลาดใหม่ทดแทน และสร้างช่องทางการส่งออกให้กับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย เพื่อสร้างรายได้จากการส่งออกและโอกาสทางธุรกิจ อีกทั้งเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ระดับฐานราก

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า การที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศ ส่วนประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 36% จากเดิมที่มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมานั้นถือเป็นการโยนหินถามทางเพื่อสังเกตท่าทีของคู่ค้าสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลอย่างทันท่วงที ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศล่าสุดกับการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าส่วนใหญ่ลงเหลือ 10% เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้เกิดการเจรจาการค้า โดยมีผลบังคับใช้ทันที ยกเว้นสาธารณรัฐประชาชนจีนที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเป็น 125%

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ประเทศไทยจะต้องเตรียมการในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาตลาดใหม่ทดแทนสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนสถานะให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าเพิ่ม และการสร้างช่องทางการส่งออกให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย โดยไทยจะมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ระดับฐานราก และเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม PromptTrade หรือระบบการค้าระหว่างประเทศรูปแบบดิจิทัล